Your question has been sent.
Expect an answer!
Khlong Sa Bua, Phra Nakhon Si Ayutthaya District, Phra Nakhon Si Ayutthaya 13000, Thailand, Phra Nakhon Si Ayutthaya
Wat Maenangpluem - Buddhist temple in Phra Nakhon Si Ayutthaya, Thailand
วัดเล็กๆร่มรื่นด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่ อุโบสถเก่าแก่สวยงามค่อนข้างสมบูรณ์ พระประธานคือหลวงพ่อขาวA small temple shady with large trees. The old ordination hall is quite beautiful and complete. The presiding Buddha is Luang Por Khao.
วัดแม่ยางปลื้มเป็นวัดที่ๆอยากไปมากไม่รู้เพราะอะไร แต่พอได้ไปแล้วรู้สึกมีความสุขทางใจเอามากๆ มีประวัติความเป็นมาของแม่ปลื้มแบบคร่าวๆคือ ท่านเป็นหญิงตาบอดอาศัยอยู่คนเดียวต่อมาพระองค์ดำได้พายเรือมาขอหลบฝนแล้วได้คุยกัน ท่านจึงรับแม่นางปลื้มเข้าไปดูแลที่วัง พอแม่ปลื้มท่านเสียพระองค์ดำก็สร้างวัดนี้ขึ้นมาค่ะ😊
วัดแม่นางปลื้มเป็นอีกหนึ่งวัดเก่าแก่ของอยุธยา ที่น่ามาเที่ยวชมก็ยัง มีสิงห์ ปูนปั้นที่ยังมีสภาพสวยงามยังหลงเหลือให้ได้เที่ยวชมอยู่
🌼วัดแม่นางปลื้ม เป็นวัดโบราณที่ยังคงเหลือร่องรอยของอดีต มีความสมบูรณ์ทางโบราณสถาน เป็นวัดเก่า มีโบสท์สวย เจดีย์ประธานมีสิงห์ล้อม เป็นศิลปะงดงาม มีหลวงพ่อขาว เป็นพระประธานที่สวยงามมาก สามารถมาสักการ ได้มีคนมาเยอะมาก เป็นวัดที่สวยงามมาก ห้ามพลาด สามารถเดินทางสะดวก เมือมาอยุธยาครับ--------------------------------------🏵️ประวัติความเป็นมา ประวัติของทางวัดแม่นางปลื้มกล่าวว่าวัดสร้างมาตั้งแต่ พ.ศ. 1920 สมัยขุนหลวงพะงั่ว กษัตริย์พระองค์ที่ 3 ของกรุงศรีอยุธยา แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ มาตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2538วัดมีตำนานที่เกี่ยวข้องกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งทางวัดเขียนว่า แม่ปลื้มเป็นชาวบ้านอยู่ริมน้ำชานพระนครคนเดียว ไม่มีลูกหลาน วันหนึ่งสมเด็จพระนเรศวรทรงพายเรือมาแต่พระองค์เดียว ท่ามกลางสายฝน เมื่อเสด็จมาถึงเห็นกระท่อมยังมีแสงตะเกียงจึงทรงแวะขึ้นมาในกระท่อม แม่นางปลื้มเห็นว่าเสื้อผ้าพระองค์เปียกจึงได้กล่าวเชื้อเชิญด้วยความมีน้ำใจ แต่พระองค์ท่านทรงตรัสเสียงดัง แม่ปลื้มจึงกล่าวเตือนว่าอย่าเสียงดังนัก กล่าวว่าเวลาค่ำ ถ้าพระเจ้าแผ่นดินได้ยินจะทรงโกรธ พระองค์กลับตรัสด้วยเสียงอันดังว่าอยากดื่มน้ำจันทน์เพื่อให้ร่างกายอบอุ่น แต่แม่ปลื้มบอกว่าเป็นวันพระ หากจะดื่มได้ต้องไม่ให้เรื่องถึงพระเจ้าแผ่นดิน พระองค์ทรงรับปาก และได้ประทับค้างคืนที่บ้านของแม่ปลื้ม เช้าจึงเสด็จกลับวัง ต่อมาทรงให้จัดขบวนมารับแม่ปลื้มไปเลี้ยงในวัง ด้วยความที่แม่ปลื้มเป็นคนมีเมตตา จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ครั้งแม่ปลื้มเสียชีวิต สมเด็จพระนเรศวรจึงจัดงานศพให้สมเกียรติ และสร้างวัดแห่งนี้ไว้ที่เป็นระลึก⚜️อ้างอิงประวัติ wikipedia
the 3rd stop of the day had a very old feel... not the usual perfectly maintained Wat, but a barn-style Germanic ceramic tile ceiling. Versus the other place with the intricate ceiling and chandaliers... For those who want different, swing by for a look at a rustic wat in a charming setting.
วัดแม่นางปลื้มโบราณสถานเก่าแก่ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาที่มีความสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งแต่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันมากนักคือ “วัดแม่นางปลื้ม” ที่ตำบลคลองสระบัว เดิมเรียกว่าวัดท่าโขลง เพราะเป็นจุดที่โขลงช้างผ่าน ก่อนเข้าเพนียด หลักฐานทางโบราณคดีและสื่อเรียนรู้ในวัดเล่าประวัติความเป็นมาของวัดว่า สร้างมาตั้งแต่ พ.ศ.1920 สมัยขุนหลวงพะงั่ว พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๓ ของกรุงศรีอยุธยา หากว่าข้อมูลนี้ถูกต้องตรงกับความเป็นจริง นับจนถึงปัจจุบันนี้ (พ.ศ. 2563วัดแม่นางปลื้มก็มีอายุถึง 643 ปีแล้ว แต่ทว่าสถาปัตยกรรมสิ่งปลูกสร้างภายในวัดยังมีความสมบูรณ์อยู่มาก แตกต่างจากวัดที่ร่วมสมัยเดียวกันอีกหลาย ๆ วัด ซึ่งได้รับผลกระทบจากสงครามในคราวกรุงศรีฯแตกครั้งที่ 2 (พ.ศ.2310จนแทบจะเรียกได้ว่ามีเหลือเพียงแต่ซากปรักหักพัง ยากแก่การบูรณะให้สมบูรณ์ดังเดิม เรื่องนี้มีคำตอบอยู่ในพระราชพงศาวดารตอนหนึ่ง ความว่า "ลุศักราช 1129 (พ.ศ.2310ปีกุน นพศก ถึง ณ วันอังคาร ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 5 วันเนาว์สงกรานต์ วันกลาง พม่าจุดเพลิงเผาฟืนเชื้อใต้รากกำแพงตรงหัวรอ ริมป้อมมหาไชย และพม่าค่ายวัดการ้อง วัดนางปลื้ม และค่ายอื่นๆทุกค่ายจุดปืนใหญ่ ป้อมปืนและหอรบ ยิงระดมเข้ามาในกรุงพร้อมกัน ตั้งแต่เพลาบ่าย 3 โมงเศษจนพลบค่ำ" ซึ่งสรุปได้ว่า วัดแม่นางปลื้มเป็นหนึ่งในที่ตั้งค่ายของพม่าในการจุดปืนใหญ่ระดมยิงเข้าไปในกรุงศรีฯ ดังนั้นพื้นที่บริเวณวัดจึงไม่ได้รับความเสียหายจากสงครามมากนัก
วัดอม่นางปลื้ม ได้อ่านประวัติวัดแล้วแสดงให้เห็นถึงน้ำพระทัยของกษัตรที่มีต่อหญิงชราคนหนึ่ง มีศาลแม่นางปลื้มอยู่ด้านหลัง จึงทำให้มีการสร้างวัดนี้ขึ้น ที่จอดรถสะดวก บรรยากาศร่มรื่น
แม่ปลื้มเป็นชาวบ้านอยู่ริมน้ำชานพระนครคนเดียว ไม่มีลูกหลาน วันหนึ่งสมเด็จพระนเรศวร(ทรง)พายเรือมาแต่พระองค์เดียว ท่ามกลางสายฝนเมื่อเสด็จมาถึงเห็น(ทอดพระเนตร)กระท่อมยังมีแสงตะเกียงอยู่ เวลานั้นค่ำอยู่ สมเด็จพระนเรศวรจึงได้(ทรง)แวะขึ้นมาในกระท่อมแม่นางปลื้มเห็น ชายฉกรรจ์เสื้อผ้าเปียกขึ้นมา จึงได้กล่าวเชื้อเชิญด้วยความมีน้ำใจ แต่พระองค์ท่านทรงเสียงดังตามบุคลิกของนักรบชายชาตรี แม่ปลื้มได้กล่าวเตือนว่า ลูกเอ๋ย เจ้าอย่าเสียงดังนักเลย เวลานี้ค่ำมากแล้วเดี๋ยวพระเจ้าแผ่นดินท่านทรงได้ยินจะโกรธเอาพระองค์กลับตรัสด้วยเสียงอันดังขึ้นอีกว่า ข้าอยากดื่มน้ำจันทน์ ข้าเปียกข้าหนาว อยากไดน้ำจันทน์ให้ร่างกานอบอุ่นพลันแม่ปลื้มยิงตกใจขึ้นมากอีก เพราะว่าวันนี้เป็นวันพระ แม่ปลื้มได้กล่าวว่า ถ้าจะดื่มจริงๆ เจ้าต้องสัญญาว่า ไม่ให้เรื่องแพร่หลายเดี๋ยวพระเจ้า แผ่นดินรู้ จะอันตราย พระนเรศวรรับปาก แม่ปลื้มจึงหยิบน้ำจันทน์ให้กิน(เสวยสมเด็จพระนเรศวรได้ประทับค้างคืนที่บ้านของแม่ปลื้มเช้าได้เสด็จกลับวัง ต่อมาได้จัดขบวนมารับแม่ปลื้มไปเลี้ยงในวัง ด้วยความที่แม่ปลื้มเป้นคนมีเมตตา จงรัภักดีต่อพระมหากษัตริย์ หลังจากแม่ปลื้มเสียชีวิต สมเด้จพระนเรศวรจัดงานศพให้สมเกียรติ แล้วสมเด็จพระนเรศวรจึงสร้างวัดให้แม่ปลื้ม นามว่า “วัดแม่นางปลื้ม” พระประธานของที่นี่ คือ หลวงพ่อขาว
วัดแม่นางปลื้ม ตั้งอยู่ในบริเวณของคลองเมือง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยา สันนิษฐานกันว่าน่าจะสร้างขึ้นเมื่อราวๆ ปี พ.ศ. 1920 โดยบริเวณที่ตั้งของวัดนั้น เคยเป็นที่ตั้งค่ายของพม่ามาก่อนในตำนานนั้นเล่าว่า บริเวณนี้เคยเป็นเรือนของ แม่ปลื้ม ซึ่งแม่ปลื้มอาศัยอยู่คนเดียวไม่มีลูกหรือหลานใดๆ วันหนึ่งพระนเรศวรพายเรือมาพระองค์เดียว แต่แล้วก็เจอพายุฝนซัดกระหน่ำเข้า เมื่อทอดพระเนตรเห็นเรือนหลังนี้ยังสว่างด้วยแสงไฟ จึงเสด็จขึ้นท่ามา ขอเสวยน้ำจันทน์และพักค้างแรม โดยที่แม่ปลื้มไม่รู้ว่าพระองค์เป็นใคร แต่ก็ต้อนรับอย่างดี และยังมีการกล่าวถึงพระเจ้าแผ่นดินด้วยความจงรักภักดี ทำให้พระนเรศวรทรงพอพระทัยอย่างมาก พอเสด็จกลับพระราชวังหลวง หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้มีการจัดขบวนมารับแม่นางปลื้มไปเลี้ยงอาหารในวัง เพื่อตอบแทนความเมตตาและความภักดีนี้ เมื่อแม่ปลื้มเสียชีวิตลง สมเด็จพระนเรศวรก็จัดพิธีศพให้อย่างสมเกียรติ และพร้อมสร้างวัดพระราชทาน ที่ชื่อว่า วัดแม่นางปลื้มมาถึงในช่วงก่อนเสียกรุงศรีอยุธยา ที่วัดแม่นางปลื้ม นั้น เคยเป็นฐานที่พม่าใช้ยิงปืนใหญ่เข้าไปในกำแพงพระนคร เลยทำให้วัดนี้มีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์มาก ไม่ถูกเผาทำลายเหมือนวัดอื่นๆ โดยความสวยงามของสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาภายในวัดนี้ ก็จะมีทั้ง พระวิหารเก่าแก่ ที่มี หลวงพ่อขาว ประดิษฐานอยู่ เป็นองค์สีขาวบริสุทธิ์ และมี เจดีย์ทรงกลมฐานสิงห์ล้อม ที่ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะเขมรในสมัยนั้น
1 พค 65วัดปิด เวลา 16.00 น.ที่จอดรถไม่ได้เยอะมากภายในวัดร่มรื่นกราบนมัสการหลวงพ่อขาวไม่ได้มา 10 ปี วัดมีการบูรณะที่ดีขึ้นสะอาดสะอ้าน มีคนดูแลมีเจดีย์อยู่หลังโบสถ์ รอบๆตัวเจดีย์ ยังมีสิงห์ให้เราเห็นหลงเหลืออยู่
Historic place
วัดนี้มีตำนานที่เกี่ยวข้องกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งทางวัดเขียนว่า แม่ปลื้มเป็นชาวบ้านอยู่ริมน้ำชานพระนครคนเดียว ไม่มีลูกหลาน วันหนึ่งสมเด็จพระนเรศวรทรงพายเรือมาแต่พระองค์เดียว ท่ามกลางสายฝน เมื่อเสด็จมาถึงเห็นกระท่อมยังมีแสงตะเกียงจึงทรงแวะขึ้นมาในกระท่อม แม่นางปลื้มเห็นว่าเสื้อผ้าพระองค์เปียกจึงได้กล่าวเชื้อเชิญด้วยความมีน้ำใจ
ประวัติ วัดแม่นางปลิ้ม แม่ปลื้มเป็นชาวบ้านอยู่ริมน้ำชานพระนครคนเดียว ไม่มีลูกหลาน วันหนึ่งสมเด็จพระนเรศวร(ทรง)พายเรือมาแต่พระองค์เดียว ท่ามกลางสายฝนเมื่อเสด็จมาถึงเห็น(ทอดพระเนตร)กระท่อมยังมีแสงตะเกียงอยู่ เวลานั้นค่ำอยู่ สมเด็จพระนเรศวรจึงได้(ทรง)แวะขึ้นมาในกระท่อมแม่นางปลื้มเห็น ชายฉกรรจ์เสื้อผ้าเปียกขึ้นมา จึงได้กล่าวเชื้อเชิญด้วยความมีน้ำใจ แต่พระองค์ท่านทรงเสียงดังตามบุคลิกของนักรบชายชาตรี แม่ปลื้มได้กล่าวเตือนว่า ลูกเอ๋ย เจ้าอย่าเสียงดังนักเลย เวลานี้ค่ำมากแล้วเดี๋ยวพระเจ้าแผ่นดินท่านทรงได้ยินจะโกรธเอาพระองค์กลับตรัสด้วยเสียงอันดังขึ้นอีกว่า ข้าอยากดื่มน้ำจันทน์ ข้าเปียกข้าหนาว อยากไดน้ำจันทน์ให้ร่างกานอบอุ่นพลันแม่ปลื้มยิงตกใจขึ้นมากอีก เพราะว่าวันนี้เป็นวันพระ แม่ปลื้มได้กล่าวว่า ถ้าจะดื่มจริงๆ เจ้าต้องสัญญาว่า ไม่ให้เรื่องแพร่หลายเดี๋ยวพระเจ้า แผ่นดินรู้ จะอันตราย พระนเรศวรรับปาก แม่ปลื้มจึงหยิบน้ำจันทน์ให้กิน(เสวยสมเด็จพระนเรศวรได้ประทับค้างคืนที่บ้านของแม่ปลื้มเช้าได้เสด็จกลับวัง ต่อมาได้จัดขบวนมารับแม่ปลื้มไปเลี้ยงในวัง ด้วยความที่แม่ปลื้มเป้นคนมีเมตตา จงรัภักดีต่อพระมหากษัตริย์ หลังจากแม่ปลื้มเสียชีวิต สมเด้จพระนเรศวรจัดงานศพให้สมเกียรติ แล้วสมเด็จพระนเรศวรจึงสร้างวัดให้แม่ปลื้ม นามว่า “วัดแม่นางปลื้ม” พระประทานของที่นี่ คือ หลวงพ่อขาว ซึ่งสวยงามมาก
ไปเที่ยวอยุธยาบ่อยมากแต่ไม่เคยแวะวัดนี้เลยที่จอดรถกว้างขวางมาก จอดได้เป็นร้อยคัน มีความเป็นระเบียบภายในวัดร่มรื่น แค่เดินผ่านซุ้มประตูก็น่าจะถึงแล้ว เป็นวัดที่เก่าแก่อายุราว 600 กว่าปีแล้วครับ
ศิลปะสมัยอยุธยาตอนต้น ในโบสถ์หลวงพ่อมีแจกของขลัง ข้างหลังมีเจดีย์ วัดแห่งนี้องค์ภาเป็นคนช่วยบุรณะไว้
Second place for merit this year 2022
เป็นวัดสวย สงบและมีเรื่องราวความเป็นมาของแม่นางปลื้มที่มีเมตตากับพระเจ้าแผ่นดินและทรงสร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานมีเจดีย์ทรงระฆังคว่ำที่มีสิงห์ล้อมเป็นวัดเก่าแก่สร้างในสมัยอยุธยา
One of the temple to visit in Ayudhaya
644 years old Wat Maenangpluem. Its an amazing temple with a lot of peaceful places. Very green with lots of tress. Great place to visit.
Peaceful and not commercial temple
Wat Mae Nang Pluem Temple (Temple of the Happy Motherwas constructed around the year BE.1920 (AD 1377). It contains a second Ayutthaya pagoda (outside the city wall), with mythical lion statues surrounded the base, which were considered Bayon-Lopburi style of early Ayutthaya Era (rather than elephant statues surrounding a pagoda, which were considered Sukothai then Thai style at the time). According to a local legend, Wat Mae Nang Pleum Temple bears its name from a poor old woman named Mae Pleum when the King was on a barge in Lopburi river and was caught in a great rainstorm. Consequently, he entered in cognitio into a small house on the river bank where a poor old woman lived and asked for a drink of gin to warm himself up from the rain. Mae Pleum gave him a drink and offered him to stay over. She also praised the King without knowing that he was his majesty. The King went back to the palace at dawn, not for long and sent a royal barge to the poor womans simple little house where he had lodged at night. He feasted her in order to reward her kindness. Even when Mae Pleum passed away, the King set up her funeral and established a temple here. Before the Ayutthaya was lost to Burma, the Burmese troops used Wat Mae Nang Pleum as a military base to fire cannons into city walls.
Not so famous temple but it was beautiful. Worth coming.
Peaceful With historical Ayudhaya Temple
so beautiful
Good
Great restoration efforts - make this a worthwhile visit.
Beautiful temple, great to visit.
Quiet and beautiful
Is a peaceful place
Great history place. Have good parking for cars.
Historical place
Ancient temple which has been wisely renovated, proudly showing off its antiquity, dignity and serenity still.
Wow is great
This temple used to be an unknown temple in Ayutthaya. With recent promotion of unseen and go back in time of this temple, its become popular among those who get to go so often of the main stream temples in the area. Its still within the vicinity of the center of town. The entrance to the temple is famous location to take picture that has the back-in-time theme. Highly recommend.
One of the ancient temple in Ayutthaya that remain from city burned. This temple has related to King Naresuan, restructured this temple again and named Mae Pluem for the ordinary old blind women who gave the king for shelter and whiskeys when he went to patrol without anyone knowing that he is the king. After that day, King Naresuan has order to take her into the palace and take care of her til she passed away. Then, King Naresuan has rebuilt this temple and named by the old women for her memorials.
Beautiful Early Ayutthaya period temple that survived the Burmese invasion that destroyed most of the city.
Peace and calm temple in Ayutthaya. Must visit.
Birth home
A ancient temple.You can see old white buddha idol here and also the main chamber both of them was established in Ayutthaya era.
small but indeed a real historical temple with a warm and peaceful surrounding
Wat Maenangpluem is located near the conflux of Klong ( canal Hua Ro and Klong Mueang, Tambon Klong Sa Bua, Amphoe Phra Nakhon Si Ayutthaya, Chang Wat Phra Nakhon Si Ayutthaya. With the architecture style of Khmer implied that this temple built during Ayutthaya period which the style of construction influenced by Khmer that was popular and well known in that time. This ancient remains still in good condition, due to the Burmese troops ‘ stronghold to fire cannons hit the city walls. Ubosot look old of the time pass, the Central Prang is “ Luang Por Kao “ the white Buddha image. Round shaped Chedi stand at the back side of Ordinary Hall. The tale of temple named after a lady “ Mae Pleum “ who offered shelter, foods and liquor for King Naresuan because at that night time he came to her house to avoid the rainstorm and he set up her funeral after the lady passed away and built this temple including named the temple after her.
Beautiful
Private temple. Good view of temple and structure. Green zone.
Happy
Love this small old temple, especially the entrance door. It made me feel like Im going to another era.
Beautiful historical Ayuthaya temple. With Khmer influence on lions around the Singhalese Chedi.
The antique temple where you should visit.
This temple was an abandoned temple and restored by King Naresuan the great. Now are consist of Big beautiful big white Budha and two buildings.
The old temple with history that you should come to visit
Ancient, peaceful, inspirational...
Khlong Sa Bua, Phra Nakhon Si Ayutthaya District, Phra Nakhon Si Ayutthaya 13000, Thailand, Phra Nakhon Si Ayutthaya
Your question has been sent.
Expect an answer!
Thank!
Your review has been submitted.
Thank you for being with us!
We will call you back!